4 ข้อควรศึกษาเพื่อ Storage Tank ที่ตอบโจทย์ตรงใจ
06/08/2024
06/Aug/2024 12:00 PM
4 ข้อควรศึกษาเพื่อ Storage Tank ที่ตอบโจทย์ตรงใจ
Storage Tank คือ หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรมเคมี อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ ตลอดจนอุตสาหกรรมการเกษตร เพื่อจัดเก็บสารได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยถังดังกล่าวนี้ มีความสำคัญทั้งแง่ของความปลอดภัยในการกักเก็บสารไม่ให้กระทบต่อสิ่งแวดล้อมภายนอก และการรักษาคุณภาพของสารที่อยู่ภายในให้คงประสิทธิภาพเดิมไว้ ซึ่งส่งผลต่อการรักษาความต่อเนื่องในการดำเนินงานทางอุตสาหกรรมต่อไปด้วย บทความนี้จะพาไปดูกันว่ามีปัจจัยใดบ้างที่ควรศึกษาให้ถี่ถ้วน ก่อนจะตัดสินใจซื้อถังที่เหมาะสมสำหรับการใช้งาน และคุ้มค่าในระยะยาว
1. วัตถุประสงค์ในการใช้งาน
การระบุวัตถุประสงค์ในการใช้งาน ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดในการจะเริ่มเลือกถังเก็บน้ำที่ถูกต้อง โดยต้องระบุให้ชัดเจนว่าจะใช้ถังนี้ในการเก็บสารอะไร ต้องการความจุปริมาณเท่าใด มีข้อกำหนดเฉพาะ เช่น ต้องการคุณสมบัติทนการกักกร่อนหรือไม่ เพื่อตัดทอนตัวเลือกให้เหลือเพียงประเภทและขนาดถังที่ตรงกับการใช้งานมากที่สุด
2. วัสดุที่ใช้สร้าง Storage Tank
วัสดุที่ใช้สร้าง Storage Tank คือ สิ่งที่ต้องคำนึงต่อมาหลังจากรู้วัตถุประสงค์การใช้งาน เนื่องจากวัสดุต่าง ๆ จะมีจุดเด่นและจุดด้อยที่แตกต่างกัน ต้องพิจารณาร่วมกับคุณสมบัติของสารที่จัดเก็บ รวมถึงความทนทาน และความคุ้มค่า โดยวัสดุสำหรับสร้างถังมีดังนี้
เหล็ก
ถังเหล็กได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และขึ้นชื่อในเรื่องความแข็งแกร่ง ทนทาน และอายุการใช้งานที่ค่อนข้างยาวนาน โดยเหล็กแต่ละเกรดก็จะมีระดับการต้านทานต่อความกัดกร่อนที่ต่างกัน แต่ก็สามารถเคลือบเพื่อป้องกันการกัดกร่อนด้วยสารเคมีได้ ถังประเภทนี้เหมาะสำหรับอุณหภูมิและความดันที่หลากหลาย ใช้เก็บได้ทั้งน้ำ และสารเคมี
สแตนเลส
ถังสแตนเลสมักถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม ยา และเครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ตามที่เน้นความสะอาดเป็นสำคัญ ทั้งยังใช้บรรจุสารเคมีหรือก๊าซที่ต้องการบรรจุภัณฑ์ที่มีการต้านทานต่อความกัดกร่อนสูงเช่นกัน เนื่องจากสแตนเลสทนต่อการกัดกร่อนได้มากกว่า และไม่เกิดปฏิกิริยาใด ๆ เมื่อเทียบกับเหล็กทั่วไป
คอนกรีต
คอนกรีตเหมาะกับการสร้างถังขนาดใหญ่ที่ใช้เก็บน้ำ สิ่งปฏิกูล รวมถึงสารเคมีบางชนิด มีข้อดีอยู่ที่คุณสมบัติต้านทานการติดไฟ แต่นานวันไปอาจจะสึกกร่อน หรือกลายเป็นแหล่งแบคทีเรียได้ ดังนั้นต้องคอยดูแลและตรวจสอบเป็นประจำ
โพลีเอทิลีนหรือพลาสติก
ถังที่ทำจากโพลีเอทิลีนหรือพลาสติก มีน้ำหนักเบา และมีความทนทานต่อการกัดกร่อน เหมาะสำหรับการเก็บน้ำ แต่อาจไม่เหมาะกับสารเคมีบางชนิด หรือการใช้งานที่มีแรงดันและอุณหภูมิสูงเกี่ยวข้อง
ไฟเบอร์กลาส
ไฟเบอร์กลาสมีคุณสมบัติความยืดหยุ่น ทนต่อการกัดกร่อนดี เหมาะกับการเก็บของเหลวที่มีฤทธิ์กัดกร่อน แต่มักจะมีราคาที่สูงกว่าถังเหล็กและโพลีเอทิลีน และอาจกรอบแตกเมื่อตั้งไว้กลางแจ้ง
3. พื้นที่ติดตั้ง
อย่าลืมวัดขนาดพื้นที่ติดตั้งถังเก็บน้ำให้รอบคอบ ให้สามารถวางถังเก็บน้ำได้อย่างเหมาะสม โดยพิจารณาถึงขั้นตอนการติดตั้ง แนวทางการบำรุงรักษา รวมถึงช่องว่างที่จำเป็น และหากเห็นว่าในอนาคตมีแผนที่จะติดตั้งถังเก็บน้ำอีก ก็ควรพิจารณาพื้นที่ รวมถึงการติดตั้งที่สามารถขยับขยายได้ง่าย หรืออาจเลือกใช้ถังขนาดใหญ่เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตก็ได้เช่นกัน
ทั้งนี้อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับพื้นที่ติดตั้ง คือ เรื่องของมาตรการและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องในพื้นที่นั้นด้วย ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าการติดตั้งถังแต่ละครั้งจะเป็นไปตามมาตรฐานอุตสาหกรรมและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อการดำเนินงานที่มีคุณภาพและต่อเนื่อง
4. ค่าใช้จ่าย
ค่าใช้จ่ายของการซื้อถังเก็บน้ำสักหนึ่งใบ ไม่ได้อยู่แค่ราคาเริ่มต้นเท่านั้น แต่มีค่าใช้จ่ายตลอดอายุการใช้งาน ประกอบไปด้วย
การลงทุนเริ่มแรก
การลงทุนเริ่มแรก คือ ค่าของตัวถังเบื้องต้น ร่วมกับค่าติดตั้งอุปกรณ์และทางเลือกเสริมอื่น ๆ อย่างตัววัดระดับน้ำ บันไดให้ผู้ใช้งานขึ้นไปดูรอบถัง หรือการเคลือบถังด้วย Eproxy หรือ FRP ให้ถังทนกรดและด่างได้ รวมถึงยังมีค่าขนส่งเพื่อนำส่งถังให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
ค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง
ค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมสถานที่ ค่าเช่าอุปกรณ์ต่าง ๆ และค่าแรงในการติดตั้งตัวถัง
ค่าบำรุงรักษา
ค่าบำรุงรักษาเป็นค่าใช้จ่ายที่จะต้องจ่ายอย่างต่อเนื่อง เพื่อดูแลถังเก็บน้ำให้คงประสิทธิภาพการใช้งานสูงสุดอยู่เสมอ แบ่งออกเป็นค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบ ค่าบำรุงรักษา ค่าซ่อมแซม เป็นต้น
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ Surasak Engineering พร้อมให้คำแนะนำ
ศึกษาข้อคำนึงพอประมาณแล้ว อย่าลืมปรึกษาผู้เชี่ยวชาญอย่าง Surasak Engineering ที่พร้อมให้คำแนะนำอย่างซื่อตรง ด้วยประสบการณ์กว่า 40 ปี ผนวกกำลังกับทีมมืออาชีพและช่างเชื่อมที่มีความชำนาญ มีมาตรฐานรับรองทั้งการเชื่อมเหล็กและสแตนเลส อีกทั้งยังมีบริการครบวงจร ตั้งแต่บริการให้คำปรึกษา บริการออกแบบให้ตรงตามความต้องการ ไปจนถึงบริการติดตั้งหน้างานพร้อมใช้งานได้ทันที ทำให้มั่นใจได้เลยว่าจะได้ Storage Tank ที่มีคุณภาพ ตรงตามความต้องการ เหมาะสมกับการใช้งาน ทั้งยังได้มาตรฐานความปลอดภัย และคุ้มค่า คุ้มราคา
1. วัตถุประสงค์ในการใช้งาน
การระบุวัตถุประสงค์ในการใช้งาน ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดในการจะเริ่มเลือกถังเก็บน้ำที่ถูกต้อง โดยต้องระบุให้ชัดเจนว่าจะใช้ถังนี้ในการเก็บสารอะไร ต้องการความจุปริมาณเท่าใด มีข้อกำหนดเฉพาะ เช่น ต้องการคุณสมบัติทนการกักกร่อนหรือไม่ เพื่อตัดทอนตัวเลือกให้เหลือเพียงประเภทและขนาดถังที่ตรงกับการใช้งานมากที่สุด
2. วัสดุที่ใช้สร้าง Storage Tank
วัสดุที่ใช้สร้าง Storage Tank คือ สิ่งที่ต้องคำนึงต่อมาหลังจากรู้วัตถุประสงค์การใช้งาน เนื่องจากวัสดุต่าง ๆ จะมีจุดเด่นและจุดด้อยที่แตกต่างกัน ต้องพิจารณาร่วมกับคุณสมบัติของสารที่จัดเก็บ รวมถึงความทนทาน และความคุ้มค่า โดยวัสดุสำหรับสร้างถังมีดังนี้
เหล็ก
ถังเหล็กได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และขึ้นชื่อในเรื่องความแข็งแกร่ง ทนทาน และอายุการใช้งานที่ค่อนข้างยาวนาน โดยเหล็กแต่ละเกรดก็จะมีระดับการต้านทานต่อความกัดกร่อนที่ต่างกัน แต่ก็สามารถเคลือบเพื่อป้องกันการกัดกร่อนด้วยสารเคมีได้ ถังประเภทนี้เหมาะสำหรับอุณหภูมิและความดันที่หลากหลาย ใช้เก็บได้ทั้งน้ำ และสารเคมี
สแตนเลส
ถังสแตนเลสมักถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม ยา และเครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ตามที่เน้นความสะอาดเป็นสำคัญ ทั้งยังใช้บรรจุสารเคมีหรือก๊าซที่ต้องการบรรจุภัณฑ์ที่มีการต้านทานต่อความกัดกร่อนสูงเช่นกัน เนื่องจากสแตนเลสทนต่อการกัดกร่อนได้มากกว่า และไม่เกิดปฏิกิริยาใด ๆ เมื่อเทียบกับเหล็กทั่วไป
คอนกรีต
คอนกรีตเหมาะกับการสร้างถังขนาดใหญ่ที่ใช้เก็บน้ำ สิ่งปฏิกูล รวมถึงสารเคมีบางชนิด มีข้อดีอยู่ที่คุณสมบัติต้านทานการติดไฟ แต่นานวันไปอาจจะสึกกร่อน หรือกลายเป็นแหล่งแบคทีเรียได้ ดังนั้นต้องคอยดูแลและตรวจสอบเป็นประจำ
โพลีเอทิลีนหรือพลาสติก
ถังที่ทำจากโพลีเอทิลีนหรือพลาสติก มีน้ำหนักเบา และมีความทนทานต่อการกัดกร่อน เหมาะสำหรับการเก็บน้ำ แต่อาจไม่เหมาะกับสารเคมีบางชนิด หรือการใช้งานที่มีแรงดันและอุณหภูมิสูงเกี่ยวข้อง
ไฟเบอร์กลาส
ไฟเบอร์กลาสมีคุณสมบัติความยืดหยุ่น ทนต่อการกัดกร่อนดี เหมาะกับการเก็บของเหลวที่มีฤทธิ์กัดกร่อน แต่มักจะมีราคาที่สูงกว่าถังเหล็กและโพลีเอทิลีน และอาจกรอบแตกเมื่อตั้งไว้กลางแจ้ง
3. พื้นที่ติดตั้ง
อย่าลืมวัดขนาดพื้นที่ติดตั้งถังเก็บน้ำให้รอบคอบ ให้สามารถวางถังเก็บน้ำได้อย่างเหมาะสม โดยพิจารณาถึงขั้นตอนการติดตั้ง แนวทางการบำรุงรักษา รวมถึงช่องว่างที่จำเป็น และหากเห็นว่าในอนาคตมีแผนที่จะติดตั้งถังเก็บน้ำอีก ก็ควรพิจารณาพื้นที่ รวมถึงการติดตั้งที่สามารถขยับขยายได้ง่าย หรืออาจเลือกใช้ถังขนาดใหญ่เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตก็ได้เช่นกัน
ทั้งนี้อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับพื้นที่ติดตั้ง คือ เรื่องของมาตรการและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องในพื้นที่นั้นด้วย ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าการติดตั้งถังแต่ละครั้งจะเป็นไปตามมาตรฐานอุตสาหกรรมและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อการดำเนินงานที่มีคุณภาพและต่อเนื่อง
4. ค่าใช้จ่าย
ค่าใช้จ่ายของการซื้อถังเก็บน้ำสักหนึ่งใบ ไม่ได้อยู่แค่ราคาเริ่มต้นเท่านั้น แต่มีค่าใช้จ่ายตลอดอายุการใช้งาน ประกอบไปด้วย
การลงทุนเริ่มแรก
การลงทุนเริ่มแรก คือ ค่าของตัวถังเบื้องต้น ร่วมกับค่าติดตั้งอุปกรณ์และทางเลือกเสริมอื่น ๆ อย่างตัววัดระดับน้ำ บันไดให้ผู้ใช้งานขึ้นไปดูรอบถัง หรือการเคลือบถังด้วย Eproxy หรือ FRP ให้ถังทนกรดและด่างได้ รวมถึงยังมีค่าขนส่งเพื่อนำส่งถังให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
ค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง
ค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมสถานที่ ค่าเช่าอุปกรณ์ต่าง ๆ และค่าแรงในการติดตั้งตัวถัง
ค่าบำรุงรักษา
ค่าบำรุงรักษาเป็นค่าใช้จ่ายที่จะต้องจ่ายอย่างต่อเนื่อง เพื่อดูแลถังเก็บน้ำให้คงประสิทธิภาพการใช้งานสูงสุดอยู่เสมอ แบ่งออกเป็นค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบ ค่าบำรุงรักษา ค่าซ่อมแซม เป็นต้น
ศึกษาข้อคำนึงพอประมาณแล้ว อย่าลืมปรึกษาผู้เชี่ยวชาญอย่าง Surasak Engineering ที่พร้อมให้คำแนะนำอย่างซื่อตรง ด้วยประสบการณ์กว่า 40 ปี ผนวกกำลังกับทีมมืออาชีพและช่างเชื่อมที่มีความชำนาญ มีมาตรฐานรับรองทั้งการเชื่อมเหล็กและสแตนเลส อีกทั้งยังมีบริการครบวงจร ตั้งแต่บริการให้คำปรึกษา บริการออกแบบให้ตรงตามความต้องการ ไปจนถึงบริการติดตั้งหน้างานพร้อมใช้งานได้ทันที ทำให้มั่นใจได้เลยว่าจะได้ Storage Tank ที่มีคุณภาพ ตรงตามความต้องการ เหมาะสมกับการใช้งาน ทั้งยังได้มาตรฐานความปลอดภัย และคุ้มค่า คุ้มราคา